วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

ข่าวไอที


รีวิว Huawei MediaPad T3 10 แท็บเล็ตจอใหญ่เพื่อความบันเทิง ราคาต่ำหมื่น


รีวิว Huawei MediaPad T3 10 แท็บเล็ตจอใหญ่เพื่อความบันเทิง ราคาต่ำหมื่น

แม้ว่าทุกวันนี้กระแสของแท็บเล็ตจะซาลงไปกว่าเมื่อ 3-4 ปีก่อนมากนะครับ เพราะสมาร์ทโฟนจอใหญ่ๆ ก็สามารถทำงานแทนแท็บเล็ตได้ระดับหนึ่งเลย แต่ก็มีงานกลุ่มหนึ่งที่ยังเหมาะมากสำหรับการใช้งานบนแท็บเล็ตนั้นก็คืองานด้านความบันเทิงครับ ยังไงการเปิดคลิป ดูละคร ดูหนังบนอุปกรณ์จอใหญ่ๆ เสียงดังๆ มันก็ต้องดีกว่าดูบนสมาร์ทโฟนจอเล็กๆ อยู่แล้ว ซึ่งหัวเว่ยก็เหมือนจะจับจุดตรงนี้ถูก จึงส่ง Huawei MediaPad T3 10 แท็บเล็ตจอใหญ่ ราคาย่อมเยาลงตลาดครับ
Huawei MediaPad T3 10 ออกแบบเพื่อความบันเทิง ดีไซน์เครื่องมาให้เหมาะสำหรับการตั้งบนโต๊ะ (ผ่านเคส) เพื่อดูหนังฟังเพลง ลำโพงดังดีมาก คือดีไซน์มาเปิดหนังดูจริงๆ คุณภาพจออยู่ในระดับปานกลาง ขนาดจอใหญ่สะดวกกับการใช้ดูหนัง

Huawei MediaPad T3 10 ใช้ดู iflix ได้เพลินดีมาก ลำโพงเสียงดัง จอใหญ่

เนื่องจาก Huawei MediaPad T3 10 นั้นออกแบบมาเพื่องานบันเทิงเป็นหลัก จึงมีหน้าจอขนาดใหญ่ 9.6 นิ้ว ความละเอียด 1280 x 800 pixel สัดส่วนหน้าจอ 16:10 เวลาดูหนัง ดูคลิปต่างๆ ก็ให้ภาพใหญ่เต็มตา แม้ว่าจอจะไม่ได้ละเอียดถึงระดับ Full HD 1080p แต่เมื่อทดสอบดูหนังต่างๆ ก็ไม่ได้รู้สึกภาพหยาบอะไร อาจเพราะเมื่อเวลาเราดูวิดีโอสายตาเราจะอยู่ห่างจากจอภาพพอสมควร ใครที่จะซื้อ MediaPad T3 10 ไปดูหนังก็ไม่ต้องกังวลกับความละเอียดหน้าจอไปครับ ดูได้เพลินๆ ไม่รู้สึกติดขัดอะไร
เอา Huawei MediaPad T3 10 ไปอ่านการ์ตูน (ลิขสิทธิ์นะ ซื้อจาก MEB) จอใหญ่ไปหน่อย แต่ก็อ่านได้ดี
แต่ความละเอียดหน้าจอกลางๆ  ซึ่งอาจจะขัดใจคนที่เคยใช้อุปกรณ์รุ่นสูงๆ จอคมๆ มาบ้าง เช่นคนที่เคยใช้ iPad มา แต่ในแง่การใช้งานจริงนั้นไม่มีปัญหาครับ เพราะจอใหญ่ ตัวอักษรก็ใหญ่ตาม แม้ตัวอักษรไม่คมมาก ก็ยังอ่านออก
ซึ่งจากตำแหน่งของกล้องหน้ากับโลโก้ด้านหน้า ด้านหลัง จะเห็นว่าหัวเว่ยดีไซน์แท็บเล็ตตัวนี้ให้ใช้ในแนวนอนเป็นหลักครับ ตำแหน่งลำโพงของ Huawei MediaPad T3 10 เลยไปอยู่ด้านล่างของเครื่อง ซึ่งดูแล้วน่าจะโดนโต๊ะปิดรูลำโพงจนเสียงเบา แต่จริงๆ แล้วเมื่อใส่เคสเพื่อตั้งแท็บเล็ต เสียงจากลำโพงนั้นไปสะท้อนกับพื้นโต๊ะจนได้เสียงดังกังวาลครับ ซึ่งเสียงเวลาตั้งกับพื้นโต๊ะนั้นดีกว่าเสียงเวลาถือเครื่องลอยๆ อีกนะครับ คุณภาพเสียงก็ไม่ได้แย่ แม้จะมีลำโพงเดียว ไม่ได้แยกมิติซ้ายขวาได้ แต่เสียงดังเป็นเรื่องดีงาม

ข่าวไอที

พาสัมผัส Samsung The Frame ทีวีที่รวมร่างระหว่าง กรอบภาพ และ ทีวี ได้ลงตัว 

ซึ่งเป็นทีวีรุ่นให่ล่าสุดที่มีการผสมผสานระหว่างความเป็นงานศิลป์จากกรอบรูปไปจนถึงการตอบโจทย์คนทั่วไปดูทีวีแค่วันละ 4 ชั่วโมง จึงให้ทีวีแสดงผลภาพเมื่อมีการปิด สร้างเอกลักษณ์เด่นออกมา


 
จุดเด่นของ Samsung Frame TV นอกจากดีไซน์สวยงามด้วยกรอบภาพที่มีให้เลือกถึง 3 สีคือ สีเบจ, สีไม้วอลนัท และสีขาว แล้วหน้าจอความละเอียด UHD (4K) พร้อมระบบปรับแสงอัตโนมัติ และยังมี Motion Sensor ที่จะจับการเคลื่อนไหว ถ้ามีคนอยู่ก็จะแสดงเป็นกรอบภาพ แต่ถ้าไม่มีก็จะเป็นจอปิดสนิท  และยังใช้ช่องการเชื่อมต่อแบบ Invisible Connection ใช้สายเดียวจบทุกสิ่ง
เนื่องจากตัวทีวีออกแบบให้เป็นกรอบรูป ที่สามารถติดตั้งได้แบบอุปกรณ์จนทำให้ติดตั้งได้ง่ายทั้งการแขวน นอกจากนี้ยังมีขาตั้งให้เลือกทั้งแบบ Stand และ ขาตั้งทีวีสมัยก่อนได้อีกด้วย จึงเรียกได้ว่าทีวีตัวน้าวนและลงตัว นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับ One Remote Control คุมทีวีและสั่งงานแบบ Motion Sensor ได้ในรีโมตเดียว แถมเวลาปิดเครื่องยังแสดงภาพนิ่งเป็นกอบภาพได้อีกด้วย นอกจากนี้ภาพนิ่งที่มีในเครื่องกว่า 100 ภาพ และสามารถใส่เข้าไปเองก็ได้ และโหลดผ่าน Samsung Art Store ซื้อเพิ่มได้อีกด้วย
 
นอกจากนี้ คุณวรรณา สวัสดิกูล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มการตลาด บริษัท ไทยซัมซุง อิเลคโทรนิคส์ จำกัด ได้เผยว่า Samsung ได้มีการศึกษาว่า จะทำให้สินค้าที่มีลักษณะทั้งเทคโนโลยีและ Life Style เข้ามากขึ้น Samsung The Frame เป็นการสร้างความนิยามใหม่ว่า Life Style TV ที่ทำให้เป็น เมื่อเปิดคือทีวี เมื่อปิดคือศิลปะ ตอบโจทย์กับการทำวิจัยทั่วโมงที่เราดูทีวีทั่วโลกเฉลี่ยแค่ 4 ชั่วโมง เมื่อปิด ก็จะเป็นจอดำ ๆ ดังนั้นกรอก ทำให้ Samsung เสริมฟีเจอร์แสดงภาพได้เหมือนกรอบภาพ และมีการออกแบบ อีฟ เบฮาร์ มาออกแบบจอนี้ และยังได้รางวัลสุดยอดนวัตกรรม ในงาน CES 2017 ที่ผ่านมา
 
จากที่ได้มองและสัมผัสนั้นถือว่าเป็นอีกทีวีรุ่นหนึ่งที่มีความสวยงามมากและสามารถสั่งงานได้หลากหลาย และยังมีความสามารถเชื่อมต่อการแสดงผลทั้งเครื่องเล่นต่าง ๆ รวมไปถึง จาก Smart phone และยังเป็นกอบภาพในเวลาเราปิดเครื่องยิ่งส่งเสริมให้บ้านดูมีชีวิตชีวาอีกด้วย
ส่วน Samsung Frame TV นั้นให้เลือก 2 ขนาดคือ 55 และ 65 นิ้ว โดยมีโปรโมชั่น ลงทะเบียนผ่าน  My Samsung จะสามารถยืดประกันไปสูงสุด 2 ปี รับสิทธิ์ดูภาพยนตร์และซีรีย์ผ่าน iFlix ฟรี 1 ปีอีกด้วย ถือว่าคุ้มอยู่ ใครสนใจสามารถติดต่อได้ที่ตัวแทนจำหน่ายทีวีจาก Samsung ทั่วประเทศ 
และราคา Update ของทีวีรุ่นนี้ ขนาด 55 นิ้วอยู่ที่ 69,900 บาท (โปรโมชั่น ราคาจริง 79,900 บาท) และ 65 นิ้วราคา 99,900 บาท

ข่าวไอที

11 พฤติกรรมที่ควรหลีกเลี่ยง หากต้องการถนอมให้ iPhone อยู่กับคุณไปนานๆ

(1) ไม่เคยปิดเครื่อง iPhone เลย
untitled-2
คำแนะนำที่ดี คือ คุณควรจะเปิดเครื่อง iPhone ของคุณอย่างน้อยสัปดาห์ละ 1 ครั้งนะครับ เพราะไม่อย่างนั้น แบตเตอรี่ของคุณอาจจะเสื่อมไวกว่ากำหนดก็ได้
ผู้เชี่ยวชาญเคยกล่าวไว้ว่า การเปิดเครื่องไว้ แต่ปิดหน้าจอและไม่ได้ใช้งานอะไรก็มีผลกับแบตเตอรี่เช่นกัน
แต่ก็แล้วแต่กรณีนะครับ เพราะ การทำงานของบางท่าน อาจจะต้องใช้งานโทรศัพท์อยู่บ่อยๆ การปิดมือถือ อาจทำให้เสียโอกาสบางอย่างไป (แต่ถ้าปิดเครื่องตอนนอน โดยทำสัปดาห์ละครั้งก็คงไม่เป็นไรเนอะ)
(2) เปิด WiFi และ Bluetooth ทิ้งไว้ตลอดเวลา
untitled-3
แน่นอนว่า การเปิด WiFi หรือ Bluetooth ทิ้งไว้ โดยที่ไม่ได้ใช้งานอะไร ถือเป็นการสิ้นเปลืองแบตฯ iPhone โดยใช่เหตุ
ถ้าเกิดว่า ณ เวลานั้น คุณไม่ได้จำเป็นจะต้องใช้งาน WiFi หรือ Bluetooth ก็ปิดมันซะ . . . ไม่จำเป็นต้องเปิดมันไว้ตลอดเวลาครับ (เปิดใช้งานเฉพาะเวลาที่จะต้องใช้งานเท่านั้น)
(3) หยิบเครื่องขึ้นมาใช้งานในวันที่อากาศ หนาว/ร้อน จัดๆ
untitled-4
ดังนั้น การหยิบ iPhone ออกมาใช้งานในวันที่อุณภูมิที่
  • ต่ำกว่า 32 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 0 องศาเซลเซียส
  • สูงกว่า 95 องศาฟาเรนไฮต์ หรือ 35 องศาเซลเซียส
นั้นเป็นอะไรที่ไม่ควรเท่าไหร่ครับ ไม่แนะนำให้ทำอย่างแรง เพราะ อากาศที่สุดโต่งขนาดนั้น อาจจะสูบแบตฯของ iPhone หรือร้อนจัดจนทำให้เครื่อง iPhone ของคุณปิดตัวอย่างอัตโนมัติแบบชั่วคราวก็เป็นได้
ถ้าเกิดคุณรู้ว่าจะต้องไปเผชิญอากาศที่ร้อนหรือเย็นจัดภายนอก พยายามเก็บ iPhone ของคุณไว้ในกระเป๋า ถ้าไม่จำเป็นก็ไม่ต้องควักมันออกมา
(4) เสียบชาร์จไฟไว้ทั้งคืน
untitled-5
การเสียบชาร์จ iPhone เอาไว้ตอนนอนนั้น เป็นอะไรที่สะดวกดี แต่ไม่ได้เป็นไอเดียที่ดีเลย
เรื่องการเสียบชาร์จเป็นประเด็นที่ถกเถียงมานานแล้ว แต่มีหลายสื่อระบุว่า การเสียบชาร์จ iPhone ไว้ตลอดเวลา แม้ว่ามันจะชาร์จไฟเต็มแล้วก็ตาม จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมไวขึ้น
ข้อมูลจาก Gizmodo ที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีที่แล้วระบุเอาไว้ว่า แบตเตอรี่จะอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด เมื่อคุณดึงมันออกก่อนที่มันจะถึง 100% ซึ่งการถอดปลั๊กก่อนที่มันจะชาร์จเต็มนั้น จะทำให้แบตเตอรี่เสื่อมช้าลง
ถ้าเป็นไปได้ พยายามชาร์จ iPhone ในช่วงระหว่างวัน เพื่อที่คุณจะได้มีโอกาสถอดปลั๊กเมื่อมันชาร์จเต็มแล้ว หรือลงทุนซื้อที่ชาร์จที่มันจะหยุดชาร์จเมื่อแบตฯเต็มแล้ว (ลองดูรายละเอียดได้จาก ที่นี่ เลยครับ)
(5) ชาร์จแบตฯไว้เต็มตลอดเวลา หรือ ปล่อยให้แบตฯหมดเกลี้ยง
untitled-6
แบตเตอรี่ลิเธียมไอออน ซึ่งใช้ในเครื่อง iPhone นั้น จะทำงานได้ดีที่สุดเมื่อระดับของแบตฯอยู่ที่ 50% – 80% โดยข้อมูลนี้กล่าวเอาไว้โดย Shane Broesky ผู้ก่อตั้ง Farbe Teccnik ซึ่งผลิตอุปกรณ์การชาร์จต่างๆ
ในทางกลับกัน การที่ปล่อยให้แบตฯหมดเป็นเวลานานๆนั้น จะทำให้แบตฯตกอยู่ในสภาวะที่เรียกว่า “Deep Discharge State” ซึ่งเป็นผลให้ตัวเก็บประจุไฟในแบตฯไม่ทำงาน และไม่สามารถเก็บประจุไฟได้ ซึ่งข้อมูลนี้ เป็นข้อมูลที่ได้มาจาก Apple เอง
ดังนั้น การเสียบชาร์จ iPhone ในระยะเวลาสั้นๆ จะช่วยให้ประจุไฟในแบตนั้นทำงาน มีกำลังไฟเพียงพอต่อการใช้งาน และที่สำคัญ มันยังช่วยยืดอายุแบตฯของคุณได้ด้วย
(6) ไม่ได้ใช้ที่ชาร์จของแท้ของ Apple
untitled-7
พูดกันตามตรงว่า ที่ชาร์จของแท้ของ Apple นั้น ราคาค่อนข้างสูงทีเดียว แต่ทาง Apple ก็ยืนยันว่า มันคุ้มที่จะลงทุนนะ
มีข่าวมาแล้วหลายครั้งว่า การใช้ที่ชาร์จที่ไม่ใช่ของ Apple หรือการซื้อที่ชาร์จปลอมนั้น เสี่ยงอันตรายพอสมควร ไม่ว่าจะเป็นการทำให้ระเบิด หรือ ไฟไหม้เนื่องจากไฟลัดวงจรได้
Apple เองก็มีโครงการ USB Power Adapter Takeback Program เพื่อเอาไว้ให้ผู้ใช้แลกที่ชาร์จปลอม และเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา Apple ก็ออกส่วนลดให้สำหรับผู้ใช้ที่ซื้อเครื่องชาร์จของ Apple มาซื้อที่ชาร์จของแท้
(7) ใช้งานโดยไม่ทำความสะอาดเครื่องเลย
untitled-8
เครื่อง iPhone ที่สกปรก ก็อาจเป็นที่สะสมของเชื้อโรคได้
Apple แนะนำให้ใช้ผ้าไร้ฝุ่น (lint-free cloth) ในการทำความสะอาดเครื่อง iPhone ของคุณ (มีสินค้าบางตัวที่อ้างว่า สามารถใช้แสง UV ในการฆ่าเชื้อให้เครื่อง iPhone ได้)
untitled-9
ที่สำคัญ คือ อย่าลืมที่จะทำความสะอาดพอร์ทที่ชาร์จไฟ เพราะ พวกเศษฝุ่น เศษผ้า จากกระเป๋ากางเกง กระเป๋าถือ อาจจะติดอยู่ในช่องนี้ก็เป็นได้ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของปัญหาในการเชื่อมต่อ หรือ ปัญหาการชาร์จไฟเมื่อเสียบสายชาร์จเข้ากับพอร์ทชาร์จไฟ . . . แนะนำให้ใช้ไม้จิ้มฟัน หรือ เข็มเล็กๆเขี่ยๆพวกเศษผ้า เศษฝุ่นที่ไปติดในนั้นออกมา
​(8) ถือ iPhone โดยขาดความระมัดระวัง (เสี่ยงต่อการโดนขโมย)
untitled-10
แน่นอนว่า iPhone เป็นอะไรที่ได้รับความนิยมสูงมาก โดยเฉพาะในพวกตลาดมืด และเป็นเป้าหมายของบรรดาขโมยทั้งหลายเลยก็ว่าได้
สถิติข้อมูลที่เคยเก็บได้ของปี 2013 ระบุว่า คดีการปล้นในเมืองใหญ่ๆนั้นเป็นการปล้นอุปกรณ์มือถือถึง 40% เลย ซึ่งถือว่าเป็นอัตราส่วนที่มากอยู่
ดังนั้น จึงเป็นเรื่องอันตราย ที่ถือ iPhone ลอยไป ลอยมา ล่อแหลมต่อการถูกวิ่งราว (เพราะบางคนใส่กระเป๋าถือ กระเป๋ากางเกง ยังโดนล้วงกระเป๋า และขโมยไปได้เลย)
(9) ไม่ได้ป้องกัน iPhone ด้วยรหัสผ่าน
untitled-11
สถิติระบุว่า ผู้ใช้งาน iPhone กว่าครึ่งหนึ่ง ไม่ได้ตั้งรหัสผ่าน หรือ passcode เอาไว้
Apple รายงานไว้ในปี 2013 ว่า ถ้าหากผู้ใช้ iPhone ไม่ใส่ passcode และถูกขโมยไปล่ะก็ ข้อมูลต่างๆจะถูกเปิดและฉกไปโดยโจรที่ขโมยไปได้
ดังนั้น การใส่ passcode จึงเป็นวิธีช่วยขั้นต้นไม่ให้พวกขโมยเข้าไปถึงข้อมูลสำคัญในตัวเครื่องได้ง่ายๆ
(10) เปิดแชร์ Location service ในทุกแอพฯ และ เปิดตลอดเวลา
untitled-12
แอพฯอย่างเช่น Maps หรือว่า Uber จำเป็นต้องใช้งาน Location services เพื่อให้แอพฯทำงานได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ซึ่งแอพฯพวกนี้จะบอกเองว่าให้ผู้ใช้งานเปิดใช้ Location Services ตอนไหน
และก็มีหลายแอพฯที่ทำงานได้ปกติแม้ว่าจะปิด Location Services แล้วก็ตาม
การเปิด / ปิด Location Services สามารถทำได้ดังนี้
  • ไปที่ Settings >>> Privacy >>> Location Services เพื่อเปิด / ปิด Location Services
เมื่อปิด Location Services ก็สามารถประหยัดแบตเตอรี่ได้พอสมควร
(11) เปิด Push Notifications สำหรับทุกแอพฯ
untitled-13
Push Notifications นั้นจะทำให้ผู้ใช้ iPhone ไม่พลาดการแจ้งเตือนจากแอพฯต่างๆได้ แต่มันจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับอินเตอร์เน็ตด้วย ซึ่งสูบแบตเตอรี่ใช้ได้เลย
งานวิจัยระบุว่า การแจ้งเตือนของ Push Notifications ของมือถือนั้นเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำลายสมาธิเลยก็ว่าได้

ข่าวไอที

แอบส่องภายในหอประชุม Steve Jobs Theater ก่อนเริ่มงานเปิดตัว iPhone 8

แอบส่องภายในหอประชุม Steve Jobs Theater ก่อนเริ่มงานเปิดตัว iPhone 8

Mac Magazine ได้เปิดเผยภาพการก่อสร้างภายในหอประชุม  Steve Jobs Theater ที่ Apple Park ซึ่งเป็นสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ของ Apple ซึ่งจะเป็นสถานที่จัดงานเปิดตัว iPhone 8 ในวันที่ 12 กันยายน 2017 นี้หอประชุมความจุ 1,000 ที่นั่งแห่งนี้ยังไม่เคยได้รับการเปิดเผยรายละเอียดมากนัก แต่จากภาพชุดนี้ ก็น่าจะทำเรามองเห็นรูปแบบของสถานที่จัดงานเปิดตัว  ได้ชัดเจนมากขึ้น
Apple Park เป็นผลงานการสร้างจากวิสัยทัศน์ของ สตีฟ จอบส์ ผู้ล่วงลับ โดยมีเนื้อที่ 2.8 ล้านตารางฟุต ซึ่งส่วนมากจะถูกใช้เป็นพื้นที่สีเขียว และส่วนที่เหลือจะประกอบไปด้วยอาคารต่างๆ เช่น R&D, Apple Store, อาหารสำนักงาน, ศูนย์ออกกำลังกาย, หอประชุม Steve Jobs Theater และยังได้ติดตั้งแผงพลังงานแสงอาทิตย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกเอาไว้ด้วย

ข่าวไอที

นักวิจัยพัฒนาระบบ Neural network สุดเจ๋ง สามารถเปลี่ยนภาพ 2 มิติ ให้เป็นโมเดล 3 มิติ ได้

โครงข่ายประสาทเทียม หรือ ข่ายงานประสาทเทียม (อังกฤษ: Artificial neural network) คือ โมเดลทางคณิตศาสตร์หรือโมเดลทางคอมพิวเตอร์สำหรับประมวลผลสารสนเทศด้วยการคำนวณแบบคอนเนคชันนิสต์ (Connectionist) แนวคิดเริ่มต้นของเทคนิคนี้ได้มาจากการศึกษาโครงข่ายไฟฟ้าชีวภาพ (Bioelectric network) ในสมอง ซึ่งประกอบด้วย เซลล์ประสาท (Neurons) และ จุดประสานประสาท (Synapses) ตามโมเดลนี้ ข่ายงานประสาทเกิดจากการเชื่อมต่อระหว่างเซลล์ประสาท จนเป็นเครือข่ายที่ทำงานร่วมกัน
นักวิจัยพัฒนาระบบ Neural network สุดเจ๋ง สามารถเปลี่ยนภาพ 2 มิติ ให้เป็นโมเดล 3 มิติ ได้
หลังจากได้โมเดล 3 มิติ แบบหยาบๆ มาแล้ว ตัว CNN จะจำโมเดลที่ได้มาประเมินผลเทียบกับภาพนิ่งต้นแบบอีกที เพื่อให้ตัวโมเดลมีความแม่นยำมากขึ้น 
เท่าที่ดูจากผลการทำงานของมันแล้ว ต้องถือว่าน่าทึ่งมากทีเดียว ในอนาคตอาจจะถูกนำมาใช้ช่วยในงานด้านกราฟฟิก ประหยัดเวลาในการทำงานของมนุษย์ไปได้เยอะเลย

วันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ข่าวไอที

หน่วยเก็บข้อมูลระดับโมเลกุล เก็บไฟล์หนังได้ทุกเรื่อง ในพื้นที่เพียง 1 ตารางนิ้ว

หน่วยเก็บข้อมูลระดับโมเลกุล เก็บไฟล์หนังได้ทุกเรื่อง ในพื้นที่เพียง 1 ตารางนิ้ว


ลองจินตนาการดูว่า มันจะดีขนาดไหนถ้าเราสามารถเก็บข้อมูลขนาด 200 เทราบิต หรือเทียบเท่ากับไฟล์หนังทุกเรื่องที่ฮอลลีวูดเคยสร้างมา ลงในหน่วยเก็บข้อมูลที่มีขนาดเล็กเพียง 1 ตารางนิ้ว และนี่ไม่ใช่เรื่องที่เกินเลยความจริงแต่อย่างใด อ้างอิงจากผลงานวิจัยล่าสุดจาก University of Manchester นักวิทยาศาสตร์สามารถแสดงวิธีการควบคุมสภาพความเป็นแม่เหล็กของโมเลกุลในบางระดับ เพื่อให้พวกมันสามารถเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลได้ แต่ข่าวร้ายก็คึือ เราตองเก็บข้อมูลไว้ที่ระดับความเย็นติดลบ 213 องศาเซลเซียส (60 องศาเคลวิน)
โดยด็อกเตอร์ David Mills ที่เป็นอาจาร์ยสาขาวิชาเคมีอยู่ที่ University of Manchester ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อ Digital Trends ว่า "พวกเราได้สร้างโมเลกุลรูปแบบใหม่ ที่สามารถเก็บข้อมูลในสภาพของขั้วแม่เหล็กที่ระดับความเย็น 60 องศาเคลวิน และเมื่อย้อนกลับไปในปี 2011 เราสามารถสร้างระบบเก็บข้อมูลระดับโมเลกุล ที่ระดับอุณหภูมิ 14 องศาเคลวิน แต่การพัฒนาให้หน่วยเก็บข้อมูลนี้ สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่ระดับอุณหภูมิ 77 องศาเคลวิน ก็เป็นอะไรที่ยั่วยวนมากๆ เนื่องจาก 77 องศาเคลวินนั้นเป็นระดับอุณหภูมิของไนโตรเจนเหลว และหากเราสามารถเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลที่ระดับอุณหภูมิ 77 องศาเคลวิลได้จริง จะทำให้เทคโนโลยีนี้มีประโยชน์ทางธุรกิจ เพราะไนโตรเจนเหลวมีราคาถูกและหาซื้อง่าย และในช่วงนี้เรากำลังค้นคว้าลงไปในรายละเอียดของโมเลกุลชนิดนี้ เพื่อหาสาเหตุว่า ทำไมมันถึงสามารถเก็บข้อมูลได้ดีกว่าโมเลกุลชนิดอื่นๆ"
ซึ่งจุดเด่นอย่างชัดเจนของการที่ทำให้โมเลกุล สามารถเก็บข้อมูลดิจิทัลได้คือ จะทำให้เกิดหน่วยเก็บข้อมูลที่ีมีความหนาแน่นสูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา เป็นไปได้ว่าศูนย์ข้อมูล (Data center) ทั่วโลกจะมีขนาดเล็กลง และเป็นไปได้ว่าในปี 2050 บริษัทไอทีชั้นนำต่างๆ อย่างเช่น Google จะไม่ต้องขยายพื้นที่ หรืิอเพิ่มไซต์ของ Data center อีกต่อไป เพราะเราสามารถเก็บข้อมูลจำนวนมหาศาลในพื้นที่ที่เล็กลง




ข่าวไอที

รีวิว Huawei MediaPad T3 10 แท็บเล็ตจอใหญ่เพื่อความบันเทิง ราคาต่ำหมื่น แม้ว่าทุกวันนี้กระแสของ แท็บเล็ต จะซาลงไปกว่าเมื่อ 3-4 ปีก่อน...